Recent Posts

รถอีแต๋นมีที่มาจากไหน?

By JodonP → วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รถอีแต๋น ภาพจาก truck.in.th

       คุณอาจจะรู้จักรถยนต์ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Honda, Toyoty, Isuzu ,ฯลฯ แต่อาจจะไม่รู้จักรถที่เป็นสัญชาติไทยแท้ อย่างรถ "อีแต๋น" อ่า สำหรับไฮโซแล้ว ถ้าท่านรู้จักแสดงว่าคุณคือ ไฮโซตัวปลอมอย่างแน่นอน หุหุ เพราะเป็นรถสำหรับสิงคะนองนาอย่างแท้จริง

       ในยุคสมัยนี้ หากพูดถึงรถอีแต๋น คนรุ่นใหม่อาจนึกภาพไม่ออกว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร เป็นรถประเภทไหนเอาไว้ใช้ประโยชน์อะไร?

        รถอีแต๋น หรือ รถเพื่อการเกษตร เป็นรถที่ชาวไรชาวนาชาวสวนชอบใช้งานในด้านการเกษตร เป็นรถอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้สาระพัดอย่าง ตั้งแต่ ขนของ, บรรทุกคน, ลากสิ่งของ, แม้แต่ดัดแปลงให้เป็นเครื่องสูบน้ำก็ยังได้ (ผมเคยเห็นนะ อิอิ) เป็นรถที่สมบุกสมบันมากๆ เวลาติดเครื่องก็จะได้ยินเสียงแต่ไกลเลย ประมาณ  แต๊กๆๆๆๆๆๆ สำหรับชาวไฮโซทั้งหลายที่ต้องนั่งรถ นิ่มๆ เสียงเงียบๆ หากมานั่งอาจจะหัวใจวายได้ภายในไม่กี่นาทีครับท่าน

        วันนี้เรามีเรื่องราวที่เป็นต้นกำเนิดของรถอีแต๋นมาบอกให้ทราบกันครับ ...

        รถอีแต๋นเป็นรถที่คิดและประดิษฐ์ขึ้นโดยคนไทย เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 โดยชาวนาผู้หนึ่งในเขตอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นผู้สร้างขึ้น ด้วยการดัดแปลงสร้างรถ 4 ล้อขนาดเล็กขึ้นคันหนึ่ง โดยใช้ชิ้นส่วนที่ใช้แล้วจากรถยนต์ทั่วไป ใช้ระบบกลไกง่ายๆ ขับเคลื่อนตัวรถ โดยใช้สายพานต่อพ่วงจากเครื่องยนต์ต้นกำลังขนาดเล็ก โดยมีแรงบันดาลใจมาจากในสมัยนั้น เทคโนโลยีทางด้านการเกษตรยังไม่ทันสมัย ประกอบกับการเกษตรในท้องที่อำเภอวิเชียรบุรีต้องประสบกับปัญหาเรื่องวัชพืชซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วภายหลังการเก็บเกี่ยว จึงคิดสร้างรถที่สามารถนำไปวิ่งในทุ่งนาที่มีวัชพืชอยู่มากๆได้ โดยสามารถปราบวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว นอกจากนี้ รถอีแต๋นยังมีประโยชน์ใช้บรรทุกสิ่งของฉุดลากเทลเลอร์ได้อีกด้วย หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนารูปแบบและประโยชน์ใช้สอยกันเรื่อยมา และเป็นที่นิยมใช้สอยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

      รถอีแต๋นเป็นญาติๆกับรถอีโก่ง แต่รถอีโก่งจะโลโซกว่านี้ครับ แต่ได้บรรยากาศคันทรี่มากกว่า อิอิ
ภาพรถอีโก่ง จาก thaichildrights.org

สรุปว่ารถคันนี้สีอะไร ??

By JodonP → วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558
รถคันนี้
    ก็ไม่มีอะไรมาก เผอิญไปเจอรถคันนี้จอดอยู่ สีออกดำๆ แต่มีสติ๊กเกอร์บอกว่า "รถคันนี้สีเงิน" อยู่ที่กระจกหลัง และ "รถคันนี้สีบรอนด์" อยู่ที่ฝากระบะท้าย  ก็เลย งงๆ

    อาจจะเป็นเพราะว่า พ่อหมอ(ดู)อาจจะบอกว่า ถ้าจะให้ดีนะต้องเป็นรถ สีเงินหรือสีบรอนด์(เงิน) ถึงจะดี  แต่พอมาคิดอีกที คงจะคิดว่า อ้าวแล้วสรุปควรใช้สีอะไรแน่ระหว่างสีเงิน กับสีบรอนด์(จริงๆต้อง
บอกว่า บรอนด์เงินด้วยนะ เพราะมีสีบรอนด์ทองด้วย หุหุ)   หรือ.... อาจจะเป็นเพราะ พ่อ บอกว่าต้องติดคำว่าสีเงินดิ  แต่แม่ บอกว่า ไม่ได้ๆ ต้องติดคำว่าสีบรอนด์   สุดท้าย ติดใครติดมันดีกว่า จะได้ไม่ทะเลาะกัน ฮ่าๆ

    ขำๆนะครับ อย่าคิดมาก หุหุ

แมลงสาบกับโลกร้อน

By JodonP → วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558


ใครจะคิดว่าเจ้าแมลงสาปน่าเกลียดน่ากลัว จะร้ายกาจต่อโลกใบนี้ ?

      ปรากฏการณ์โลกร้อน หมายถึงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลกและน้ำในมหาสมุทรตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 และมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

     ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา นับถึง พ.ศ. 2548 อากาศใกล้ผิวดินทั่วโลกโดยเฉลี่ยมีค่าสูงขึ้น 0.74 ± 0.18 องศาเซลเซียส ซึ่งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติได้สรุปไว้ว่า “เกิดจากการเพิ่มความเข้มของแก๊สเรือนกระจกที่เกิดขึ้นโดยกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นผลในรูปของปรากฏการณ์เรือนกระจก” สำหรับปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่าง เช่น ความผันแปรของการแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์และการระเบิดของภูเขาไฟ ก็มีผลเหมือนกันแต่ไม่มากนัก

     การที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคาดว่าทำให้เกิดภาวะลมฟ้าอากาศสุดโต่ง (extreme weather) ที่รุนแรงมากขึ้น ปริมาณและรูปแบบการเกิดหยาดน้ำฟ้าจะเปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบอื่น ๆ ของปรากฏการณ์โลกร้อนได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของผลิตผลทางเกษตร การเคลื่อนถอยของธารน้ำแข็ง การสูญพันธุ์พืช-สัตว์ต่าง ๆ รวมทั้งการกลายพันธุ์และแพร่ขยายโรคต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

     หลายคนได้อ่านแล้ว คิดว่าภาวะเรือนกระจกนั้นเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่นอกจากมนุษย์ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างเช่นทุกวันนี้แล้ว  ทราบหรือไม่ว่ามีสัตว์ปีกอีกชนิดหนึ่งที่เป็นตัวการสำคัญไม่แพ้มนุษย์เราเหมือนกัน ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อน สัตว์ปีกชนิดนี้นั่นก็คือ “แมลงสาบ”

     จากการศึกษาข้อมูลเรื่องนี้ พบว่าเจ้าแมลงสาบจะมีการผายลมออกมาเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยทุก 15  นาที หลังจากมันตายไปแล้วมันยังสามารถปล่อยก๊าซมีเทนออกมาได้นานถึง 18 ชั่วโมง จากสถิติพบว่าการผายลมที่แมลงปล่อยออกมามีมากถึง 20% ของการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดในโลก ก็คิดดูว่าแมลงสาปในโลกของเรานี้มีมากมายขนาดไหน เพราะมันเป็นสัตว์ที่สามารถพบได้ทุกทวีปทั่วโลกเราเลยทีเดียว หรือโลกของเราจะถึงกาลอวสานเพราะ “แมลงสาบ”  โอ้ววว ไม่ !!!

เลือดกำเดา มาจากไหน แล้วเราจะทำอย่างไร

By JodonP → วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558


    เลือดกำเดา คือ เลือดที่ออกมาจากจมูก มีตั้งแต่เล็กน้อยๆ จนถึงเยอะเวอร์ หลายคนสงสัยว่าทำไมเลือดกำเดาจึงต้องไหลออกมาจากไหน ? มีสาเหตุมาจากอะไร ?

     สาเหตุที่ทำให้เลือดกำเดาไหลนั้น ต้นเหตุหลัก คือ เส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกของเราที่มีอยู่มากมาย การที่เลือดกำเดาไหลออกมามีสาเหตุเช่น เกิดการกะแทกอย่างแรงที่จมูก การติดเชื้อที่จมูก จมูกอักเสบ มีเนื้องอกบริเวณจมูก โรคเลือดออกง่าย โรคของหลอดเลือด รวมถึงภาวะความดันโลหิตสูงฉับพลัน เป็นต้น
     ในทางการแพทย์นั้น ในการปฐมพยาบาล โดยใช้วิธีการก้มหน้า บีบจมูกทั้งสองข้างนานประมาณ 5-10 นาที โดยไม่จำเป็นต้องหาน้ำแข็งมาประคบแต่อย่างใด การบีบจมูกจะเป็นการกดเส้นเลือดที่เลือดกำเดาไหลออกมาโดยตรง เลือดจะหยุดไหลไปเอง เนื่องจากร้อยละ 90 เลือดกำเดาไหลจากตำแหน่งส่วนหน้าของผนังกั้นกลางจมูก แต่ถ้าหากกดเป็นระยะแล้วเลือดยังไม่หยุดให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

     แต่จากการทดลองทำดู ปรากฏว่า อาจจะได้ผลในบางคนเท่านั้น แต่ภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างเราๆนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ ก็ให้เหงยหน้าขึ้น พยายามหายใจทางปาก และถ้ามีน้ำแข็งประคบเลือดก็จะหยุดเร็วขึ้น  ผมใช้วิธีหลังนี้แล้วได้ผลครับ ยังไงก็ลองๆหลายวิธีก็แล้วกันครับ "ลางเนื้อชอบลางยา"

     สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้เลือดกำเดาไหลก็คือหลีกเลี่ยงจากอันตรายที่เกิดกับจมูก ไม่แคะจมูก รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะการกินวิตามินซี ที่อยู่ในรูปของอาหาร ผลไม้ และวิตามินเสริมก็สามารถช่วยได้ครับ  เพราะวิตามินซี ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงครับ และสร้างภูมิต้านทานในร่างกายให้สูงขึ้นอีกด้วย  แต่หากใครที่เลือดกำเดาไหลบ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ แนะนำให้พบแพทย์โดยเร็วครับ เพราะอาจจะมีภาวะผิดปกติของเยื่อโพรงจมูกได้ เช่น เนื้องอก เป็นต้น

ครีมป้องกันท้องลาย ป้องกันได้จริงหรือไม่ ?

By JodonP → วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

     ปัญหาผิวพรรณของคุณผู้หญิงสำคัญเสมอ ไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม วันนี้เรามาพูดถึงในกรณีที่คุณผู้ญิงกำลังเตรียมตัวจะเป็นแม่ของลูกน้อย ปัญหาความสวย ความงามอย่างหนึ่งที่หลายท่านต้องเตรียมตัวรับมือ ก็คือ หน้าท้องแตกลาย(งา)หลังคลอด หลายท่านป้องกันด้วยการทาครีมป้องกันหน้าท้องแตกลายซึ่งมีขายทั่วไปตามท้องตลาด ราคาก็อยู่ประมาณ 100-500 บาทหรืออาจจะแพงกว่านี้ ซึ่งในความจริงแล้วยังไม่มีครีมใดๆที่มีผลทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าช่วยป้องกันรอยแตกได้ 100% แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก จึงต้องเสาะแสวงหาครีมป้องกันท้องแตกลาย ป้องกันไปก่อน

     ในความเป็นจริงการทาครีมป้องกันเป็นการความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าท้อง จะทำให้ผิวแตกลายน้อยลงเท่านั้น เนื่องจากการตั้งครรภ์มีผลทำให้ร่างกายเกิดการขยายตัวทุกส่วน ที่สำคัญในช่วงตั้งครรภ์ร่างกายจะมีฮอร์โมนเพศหญิงสูง ซึ่งส่งผลให้คอลลาเจนใต้ผิวอ่อนลงและเมื่อคอลลาเจนอ่อนแอลงก็ทำให้เกิดการฉีกขาดของคอลลาเจนใต้ผิวมากขึ้นตามมา ยิ่งร่างกายขยายตัวมากเท่าไหร่ คอลลาเจนก็เกิดการฉีกขาดมากขึ้นกลายเป็นรอยแตกลายเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาหน้าท้องแตกลายหลังตังครรภ์ที่เหมาะสมก็คือการควบคุมน้ำหนักตัวให้เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ คือ 12 กิโลกรัมเท่านั้น หากน้ำหนักตัวมากกว่า 12 กิโลกรัม แน่นอนว่าคุณจะต้องประสบกับปัญหาหน้าท้องแตกลาย (ขึ้นอยู่กับลักษณะ รูปร่างของแต่ละท่านอีกด้วย)

     ดังนั้นการหาครีมป้องกันท้องแตกลายมาใช้ จึงไม่ใช่เรื่องที่คิดผิด ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยป้องกันได้ 100% แต่ก็พอที่จะช่วยได้ในเรื่องความชุ่มชื้นของผิว (อาจจะทำให้แตกลายน้อยลง) แต่ถ้าจะให้ผลดีต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมน้ำหนักในอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการใช้ผลิตภัณฑ์ครีมแก้ท้องลายที่ได้มาตรฐาน มี อย.รับรอง ก็จะทำให้เรามั่นใจได้ระดับหนึ่งในเรื่องของความปลอดภัย และถ้าหากเป็นจำพวกสมุนไพรธรรมชาติก็จะยิ่งปลอดภัยยิ่งขึ้น

กอดอก บรรเทาความเจ็บปวดเมื่อถูกตีก้น...

By JodonP → วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

ภาพจาก Youtube

     จำได้ไหม ? สมัยเมื่อเรายังเด็ก เมื่อทำผิดก็ต้องถูกทำโทษ และทุกครั้งที่ต้องถูกทำโทษด้วยการถูกตีก้น ก่อนที่เราจะถูกตี ผู้ใหญ่หรือคุณครูมักจะบอกให้เราเอามือกอดอกก่อนเสมอ หลังจากนั้นไม้เรียวอันงามๆก็มักจะมากระทบก้น ของเราพร้อมกับเสียงดังและความเจ็บปวด... ซึ่งหากใครเคยโดนตีมาคงจะจำกันได้ดีทีเดียว

     แล้วทำไมจะต้องให้เรากอดอก อันนี้อาจจะเป็นเพราะอาจจะไม่อยากให้ส่วนมือหรือแขนเราถูกตีไปด้วยก็ได้(เวลาเรายืนตรงเอามือแนบลำตัว) แต่ว่ารู้หรือไม่ ? การที่เรายืนกอดอกในขณะนั้นมันมีประโยชน์กับเรามากทีเดียว เพราะการกอดอกสามารถช่วยให้เรารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงได้ เนื่องจากสมองของเราเกิดการสับสน หรือเกิดความขัดแย้งขึ้นนั่นเอง โดยปกติตามธรรมชาติแล้ว ระบบกลไกการทำงานของสมองคนเรามักจะใช้มือข้างซ้ายสัมผัสสิ่งของต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราทางด้านซ้ายและใช้มือขวาสัมผัสสิ่งของที่อยู่ทางด้านขวา แต่เมื่อใดที่เราทำให้ข้อมูลในสมองเกิดการขัดแย้ง การประมวลที่ได้รับก็จะเกิดการแปรปรวนไปจากวามเป็นจริง การที่เรากอดอก โดยเอามือขวาไปอยู่ทางด้านซ้ายของลำตัว และเอามือซ้ายไปอยู่ทางด้านขวานั้น ระบบการทำงานของสมองจะมีอาการงงๆ สับสนเกิดขึ้นมาทันที ซึ่งมีผลทำให้การประมวลผลที่ได้ไม่ชัดเจน จึงทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงกว่าความเป็นจริงได้ ว่าแล้วก็ลองดูกันเอาเองนะครับ ซึ่งผมลองทดสอบแล้วก็เป็นจริงในระดับหนึ่งครับ แต่ทางที่ดีที่สุด น้องๆอย่าทำอะไรผิดจะดีกว่า คุณครูจะได้ไม่ทำโทษเอานะครับ

สระผม ยังไงที่เรียกว่าถูกวิธี

By JodonP → วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558
  

     การสระผมตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นปัญหาน้อย-ใหญ่ แต่การสระผมนั้นมักจะเป็นไปตามความเข้าใจของแต่ละคนว่า ควรจะสระแบบนี้ดี หยั่งงี้ถึงจะถูก แบบนี้ผมสะอาดดี แต่คงจะมีน้อยคนนักที่คิดว่า จริงๆแล้วการสระผมที่ถือว่าดีที่สุด ควรทำอย่างไร ลองมาฟังนักวิชาการหลายๆคน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการสระผมเขาให้ความเห็นกันดีกว่า

     แน่นอนว่าการสระผม ใครๆเขาก็ทำกันได้ แต่เขาบอกว่ามันก็ยังไม่ดีพอ  สำหรับผู้ชายแล้วคงจะไม่เท่าไหร่ สำหรับการสระผม เพราะปริมาณเส้นผมที่น้อยกว่า(ส่วนใหญ่) แต่สำหรับผู้หญิงที่รักสวย รักงาม โดยเฉพาะผู้ที่รักเส้นผมของตัวเองมากๆ ใส่ใจเส้นผมตัวเองมากๆ ต้องลองมาดูวิธีสระผมที่ดี วิธีที่ถูกต้องว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

     อันดับแรก ก่อนสระผม ให้ล้างผมด้วยน้ำเปล่าเพื่อซะล้างสิ่งสกปรกออกจากเส้นผมก่อน จากนั้นเทแชมพูสระผมให้ทั่วศีรษะ(ผม) อย่าเทแชมพูลงบนหนังศีรษะโดยตรง แล้วค่อยๆ แล้วค่อยๆนวดศีรษะอย่าเกาด้วยเล็บลงบนหนังศีรษะหรือขยี้ผมแรงๆเมื่อนวดแชมพูจนทั่วศีรษะแล้วให้ล้างแชมพูออกให้สะอาด อาจสระผมซ้ำอีกครั้งด้วยวิธีเดิมหรือไม่ต้องก็ได้ อาจจะมีการหมักผมด้วยครีมนวดผมด้วยก็ได้ แล้วล้างน้ำให้สะอาด เมื่อเรียบร้อยแล้วให้เช็ดผมจนแห้ง อย่าดึงหรือกระชากผมรุนแรง หากใช้เครื่องเป่าผมให้ห่างจากเส้นผมประมาณ 1 ฟุต ไม่ควรเข้านอนขณะผมยังเปียกอยู่ เพราะอาจทำให้เกิดเชื่อราที่หนังศีรษะและปวดศีรษะได้ และพยายามหลีกเลี่ยงการสระผมตามร้านเสริมสวย ซึ่งช่างมักจะสระผมอย่างรุนแรง ครั้งละ 3-4 รอบ ซึ่งไม่ดีต่อหนังศีรษะเลย ซึ่งจะทำให้ผมหลุดร่วงได้ง่าย เคล็ดลับหรือหลักๆจริงๆคือ การนวดศีรษะเบาๆอย่างทั่วถึง เพื่อที่จะให้เลือดสามารถเลี้ยงรากเส้นผมได้ดี และครอบคลุมทุกเส้นผม ก็จะทำให้ผมมีสุขภาพดี และการชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดตามเส้นผมออกให้หมด โดยไม่ทิ้งสิ่งที่เป็นสารเคมีตกค้างที่เส้นผมของเรา ผมของเราก็จะเงางามเป็นธรรมชาติเอง

     สำหรับแชมพู หรือครีมนวดผม หรือสารอะไรก็ตามที่คุณใช้บำรุงผม ควรศึกษาให้แน่ใจว่าไม่เป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะของคุณ หากไม่แน่ใจให้ทดลองใช้ก่อนในปริมาณน้อยๆ ถ้าเกิดอาการแพ้ หรือ ผลลัพท์ที่ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ ควรหยุดและเปลี่ยนยี่ห้อ คำแนะนำอื่นๆได้แก่ การใช้สารเคมีให้น้อยที่สุด เน้นที่สารสกัดจากธรรมชาติให้เยอะที่สุด แต่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้ด้วยว่า “ดูที่ฉลาก” เพื่อความมั่นใจว่าได้ผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมกำกับ สินค้าประเภทนี้แล้วหรือไม่ อย่าไปเสี่ยงกับของถูก เพราะคุณอาจจะได้ของปลอม เดี๋ยวศีรษะล้านขึ้นมาจะโทษใครไม่ได้เด้อ..